เมนู

เมฆิยวรรคที่ 4



1. เมฆิยสูตร



ว่าด้วยตรัสธรรม 5 แก่พระเมฆิยะ



[85] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ จาลิกบรรพต ใกล้
เมืองจาลิกา ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะเข้าไป
บิณฑบาตในชันตุคาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ เธอจง
สำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระเมฆิยะนุ่ง
แล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังชันตุคามเพื่อบิณฑบาต ครั้นเที่ยวไปใน
ชันตุคามเพื่อบิณฑบาตแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไป
ยังฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ครั้นแล้วเดินพักผ่อนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ได้เห็น
ป่ามะม่วงน่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์ ครั้นแล้วคิดว่า ป่ามะม่วงนี้น่าเลื่อมใส
น่ารื่นรมย์จริงหนอ ป่ามะม่วงนี้สมควรแก่ความเพียรของกุลบุตรผู้มีความ
ต้องการด้วยความเพียรจริงหนอ ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาต
เราไซร้ เราพึงมาสู่อัมพวันนี้เพื่อบำเพ็ญเพียร ลำดับนั้นแล ท่านพระ-
เมฆิยะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว
ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังชันตุคาม ครั้นเที่ยวไปบิณฑบาตใน

ชันตุคามแล้ว กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เข้าไปยังฝั่งแม่น้ำ
กิมิกาฬา ครั้นแล้วเดินพักผ่อนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำกิมิกาฬา ได้เห็นอัมพวัน
น่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์ จึงได้คิดว่า อัมพวันนี้น่าเลื่อมใส น่ารื่นรมย์จริง
หนอ อัมพวันนี้ สมควรเพื่อความเพียรของกุลบุตรผู้มีความต้องการด้วย
ความเพียรจริงหนอ ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาตเราไซร้ เรา
พึงมาสู่อัมพวันนี้เพื่อบำเพ็ญเพียร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าว่าพระผู้มี-
พระภาคเจ้าจะทรงอนุญาตข้าพระองค์ไซร้ ข้าพระองค์พึงไปสู่อัมพวันเพื่อ
บำเพ็ญเพียร.
[86] เมื่อท่านพระเมฆิยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ จงรอก่อน เราจะอยู่แต่ผู้เดียวจนกว่าภิกษุรูปอื่น
จะมา แม้ครั้งที่ 2 ท่านพระเมฆิยะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มีกิจอะไร ๆ ที่พึงทำให้ยิ่ง หรือไม่
มีการสั่งสมอริยมรรคที่พระองค์กระทำแล้ว แต่ข้าพระองค์ยังมีกิจที่พึงทำ
ให้ยิ่ง ยังมีการสั่งสมอริยมรรคที่ทำแล้ว ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรง
อนุญาตข้าพระองค์ไซร้ ข้าพระองค์พึงไปสู่อัมพวันนั้นเพื่อบำเพ็ญเพียร
แม้ครั้งที่ 2. . . แม้ครั้งที่ 3 . . . พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ
เราพึงกล่าวอะไรกะเธอผู้กล่าวอยู่ว่า บำเพ็ญเพียร ดูก่อนเมฆิยะ เธอจง
สำคัญเวลาอันสมควร ณ บัดนี้.
[87] ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะลุกจากอาสนะ ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว เข้าไปยังอัมพวันนั้น ครั้น-
แล้วได้เที่ยวไปทั่วอัมพวัน แล้วนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง
ครั้งนั้น เมื่อท่านพระเมฆิยะพักอยู่ในอัมพวันนั้น อกุศลวิตกอันลามก 3

ประการคือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ย่อมฟุ้งซ่านโดยมาก
ครั้งนั้นแล ท่านพระเมฆิยะคิดว่า น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ
เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา แต่กลับถูกอกุศลวิตกอันลามก 3
ประการนี้คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ครอบงำแล้ว ครั้งนั้น
เป็นเวลาเย็น ท่านพระเมฆิยะออกจากที่เร้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี-
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เมื่อข้าพระ-
องค์พักอยู่ในอัมพวันนั้น อกุศลวิตกอันลามก 3 ประการคือ กามวิตก
พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ย่อมฟุ้งซ่านโดยมาก ข้าพระองค์นั้นคิดว่า น่า
อัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ก็เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา
แต่กลับถูกอกุศลวิตกอันลามก 3 ประการนี้คือ กามวิตก พยาบาทวิตก
วิหิงสาวิตก ครอบงำแล้ว.
[88] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเมฆิยะ ธรรม 5 ประการ
ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า 5 ประการ
เป็นไฉน ดูก่อนเมฆิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี
มีเพื่อนดี นี้เป็นธรรมประการที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่ง
เจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณเล็กน้อย
สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี้เป็นธรรมประการที่ 2 ย่อมเป็น
ไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก
ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นไปเพื่อเป็นที่สบายในการเปิด
จิตเพื่อเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความ
เข้าไปสบง เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ อัปปิจฉกถา
สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิ-
กถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
นี้เป็นธรรมประการ
ที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม
เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่
ทอดธุระในกุศลธรรม นี้เป็นธรรมประการที่ 4 ย่อมเป็นไปเพื่อความ
แก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่อง
พิจารณาความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์
โดยชอบ นี้เป็นธรรมประการที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่ง
เจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า ดูก่อนเมฆิยะ ธรรม 5 ประการนี้ ย่อมเป็น
ไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุตติที่ยังไม่แก่กล้า
ดูก่อนเมฆิยะ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้
ได้ คือ ตนจักเป็นผู้มีศีล. . . จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุ
ผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักได้ตามความ
ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเครื่องขัดเกลากิเลส. . . วิมุตติ-
ญาณทัสสนกถา ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ

ตนจักเป็นผู้ปรารภความเพียร. . .ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ภิกษุผู้มีมิตรดี
มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักเป็นผู้มีปัญญา . . .ให้
ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ.
[89] ดูก่อนเมฆิยะ ก็แลภิกษุนั้นตั้งอยู่ในธรรม 5 ประการนี้แล้ว
พึงเจริญธรรม 4 ประการให้ยิ่งขึ้นไป คือ พึงเจริญอสุภะเพื่อละราคะ พึง
เจริญเมตตาเพื่อละพยาบาท พึงเจริญอานาปานสติเพื่อตัดวิตก พึงเจริญ
อนิจจสัญญาเพื่อเพิกถอนอัสมิมานะ ดูก่อนเมฆิยะ อนัตตสัญญาย่อมปรากฏ
แก่ภิกษุผู้ได้อนิจจสัญญา ผู้ที่ได้อนัตตสัญญาย่อมบรรลุนิพพานอันเป็นที่
เพิกถอนเสียได้ซึ่งอัสมิมานะในปัจจุบันเทียว.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรง
เปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
วิตกอันเลวทราม วิตกอันละเอียด เป็นไปแล้ว
ทำใจให้ฟุ้งซ่าน บุคคลผู้มีจิตหมุนไปแล้วไม่ทราบ
วิตกแห่งใจเหล่านี้ ย่อมแล่นไปสู่ภพน้อยและภพ
ใหญ่ ส่วนบุคคลผู้มีความเพียร มีสติ ทราบวิตกแห่ง
ใจเหล่านี้แล้ว ย่อมปิดกั้นเสีย พระอริยสาวกผู้ตรัสรู้
แล้ว ย่อมละได้เด็ดขาดไม่มีส่วนเหลือ ซึ่งวิตก
เหล่านี้ที่เป็นไปแล้ว ทำใจให้ฟุ้งซ่าน.

จบเมฆิยสูตรที่ 1

เมฆิยวรรควรรณนาที่ 4



อรรถกถาเมฆิยสูตร



เมฆิยสูตรที่ 1 แห่งเมฆิยวรรคมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า จาลิกายํ ได้แก่ ใกล้เมืองชื่ออย่างนี้. ได้ยินว่า เลยสถานที่
ประตูนั้นไป มีเปือกตมไหวอยู่รอบ ๆ. เพราะตั้งชิดเปือกตมที่ไหว
นครนั้นจึงปรากฏแก่ผู้ที่แลดูเหมือนไหวอยู่ เพราะฉะนั้น เมืองนั้นเขาจึง
เรียกว่า จาลิกา. บทว่า จาลิเก ปพฺพเต ความว่า ในที่ไม่ไกลนครนั้น
มีภูเขาลูกหนึ่ง แม้ภูเขานั้นก็ปรากฏแก่ผู้แลดูเหมือนไหวอยู่ ในวัน
อุโบสถข้างแรม เพราะภูเขานั้นขาวปลอด เพราะฉะนั้น ภูเขานั้นจึงนับว่า
จาลิกบรรพต. ชนทั้งหลายได้พากันสร้างวิหารใหญ่ในที่นั้น ถวายแด่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า. ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำนครนั้นให้เป็น
โคจรคาม ประทับอยู่ที่มหาวิหารใกล้จาลิกบรรพตนั้น ด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ประทับอยู่ ณ จาลิกบรรพต ใกล้เมืองจาลิกา.
บทว่า เมฆิโย เป็นชื่อของพระเถระนั้น. บทว่า อุปฏฺฐาโก โหติ
ได้แก่ เป็นผู้บำเรอ. จริงอยู่ ในปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มี
อุปัฏฐากประจำ บางคราวได้มีพระนาคสมาละ. บางคราวพระนาคิต.
บางคราวพระอุปวาณะ. บางคราวพระสุนักขัตตะ. บางคราวพระ-
จุนทสมณุทเทศ บางคราวพระสาคตะ. บางคราวพระเมฆิยะ. แม้ใน
คราวนั้น ท่านพระเมฆิยเถรนั่นแหละเป็นอุปัฏฐาก. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ท่านพระเมฆิยะเป็นอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า ชนฺตุคามํ ได้แก่ วิหารนั้นนั่นแหละ ได้มีโคจรคามอื่น
ซึ่งมีอย่างนั้น. บาลีว่า ชตฺตุคามํ ดังนี้ก็มี. บทว่า กิมิกาฬาย ได้แก่